Artificial intelligence กับ machine learning เป็น 2 คำที่ทำให้คุณอาจสับสน

2020-04-16 14:18:52

View : 10990

บทนำ

ประวัติโดยย่อของ AI

รายละเอียด

ประวัติโดยย่อของ AI

AI ที่กลายเป็นคำยอดฮิตที่ปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามันไม่มันจะไม่ใช่คำที่เพิ่งถูกบัญญัติขึ้นมาใหม่ เพราะในปี 1956 , 
กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าจากหลายๆวงการ ได้ร่วมกันทำงานวิจัยเกี่ยวกับ AI มีผู้นำทีมได้แก่ John McCarthy (Dartmouth College), Marvin Minsky (Harvard University), Nathaniel Rochester (IBM) และ Claude Shannon (Bell Telephone Laboratories) 

โดยมีจุดประสงค์หลักของงานวิจัย คือ  การค้นหามุมมองและหลักการต่างๆที่ใช้การเรียนรู้อย่างครอบคลุม

เพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน

โดยมีเนื้อหาของโครงการมีดังนี้

1.) คอมพิวเตอร์อัตโนมัติ (Automatic Computers)

2.) จะสามารถเขียนโปรเเกรมคอมพิวเตอร์โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร ( How Can a Computer Be Programmed to Use a Language?)

3.) โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Nets )

4.) การพัฒนาด้วยตนเอง (Self-improvement )

องค์ความรู้เหล่านี้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดมากขึ้น และยังทำให้ความคิดที่จะการสร้าง AI มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

ชนิดของ AI (Type of Artificial Intelligence)                                           AI ถูกแบ่งออกเป็น 3 sub field  ได้แก่

1) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

2) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)

3) การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)

------------------

ปัญญาประดิษฐ์  (AI : Artificial Intelligence)คือ

เครื่องจักร(machine) ที่มีฟังก์ชันทีมีความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆ อาทิเช่น การรับรู้  การเรียนรู้ การให้เหตุผล และการแก้ปัญหาต่างๆ  
เครื่องจักรที่มีความสามารถเหล่านี้ก็ถือว่าเป็น ปัญญาประดิษฐ์  (AI : Artificial Intelligence) นั่นเอง

เพราะฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า AI ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเครื่องจักรมีความสามารถที่จะเรียนรู้นั่นเอง  ซึ่ง AI ก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสามารถหรือความฉลาด  โดยจะวัดจากความสามารถในการ ให้เหตุผล การพูด และทัศนคติของ AI ตัวนั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์อย่างเราๆ

AI ถูกจำแนกเป็น 3 ระดับตามความสามารถหรือความฉลาดดังนี้

1 ) ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow AI ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI) : 

คือ  AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางได้ดีกว่ามนุษย์(เป็นที่มาของคำว่า Narrow(แคบ) ก็คือ AI ที่เก่งในเรื่องเเคบๆหรือเรื่องเฉพาะทางนั่นเอง)  อาทิ เช่น AI ที่ช่วย
ในการผ่าตัด(AI-assisted robotic surgery)  ที่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดกว่าคุณหมอยุคปัจจุบัน  

แต่แน่นอนว่า AIตัวนี้ไม่สามารถที่จะทำอาหาร ร้องเพลง หรือทำสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการผ่าตัดได้นั่นเอง  

ซึ่งผลงานวิจัยด้าน AI ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ที่ระดับนี้

2 ) ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับมนุษย์ สามารถทำทุกๆอย่างที่มนุษย์ทำได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์

3) ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Strong AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในหลายๆด้าน

จะเห็นได้ว่าวิทยาการของมนุษย์ปัจจุบันอยู่ที่จุดเริ่มต้นของ AI เพียงเท่านั้น

สรุป

Artificial intelligence กับ machine learning เป็น 2 คำที่ทำให้คุณอาจสับสนได้ในตอนแรก

แต่เราคาดหวังว่าเมื่อคุณได้ทำความเข้าใจเนื่้อหาของบทความ คุณจะสามารถแยกแยะ 2 คำนี้ออกจากกันได้  

Artificial intelligence (AI) เป็นวิทยาศาสตร์ในการฝึกฝนเครื่องจักร( train machine )ให้มีทักษะคล้ายคลึงกับมนุษย์

โดยวิธีในการ train machine ก็มีอยู่หลากหลายวิธีการเช่นกัน ในยุคเริ่มต้นของ AI เราใช้วิธีการที่เรียกว่า hard-coded programs

หรือ การเขียนโค้ดที่เป็นตรรกะทุกสิ่งอย่างที่คาดว่า machine จะเผชิญกับมัน (ให้ลองนึกภาพถึงหุ่นยนต์ที่ถูกเขียนโปรแกรมมาด้วยการใช้ if-else condition เป็นหลักพัน condition แน่นอนว่าหุ่นยนต์อาจจะสามารถทำงานได้อย่างดีภายใต้คำสั่งนั้นๆ เเต่เมื่อ ระบบมีความซับซ้อนมากขึ้น หรือ เราอยากจะเพิ่มเติมฟังก์ชันไหน ถึงตอนนั้นเราจะสามารถทำได้อย่างยากลำบาก เพราะต้องจัดการกับโค้ดจำนวนมาก )

เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้

จึงเกิดเป็นไอเดียของ machine learning หรือก็คือให้ machine เรียนรู้หรือปรับตัว (train) ให้เข้ากับข้อมูลหรือสภาพแวดล้อมที่ได้รับ (input data )

และ feature ที่สำคัญที่สุดที่จะนำมาซึ่ง AI ที่มีประสิทธิภาพ คือการมีข้อมูลที่เพียงพ่อต่อการ train ยกตัวอย่างเช่น AI สามารถเรียนรู้ได้หลากหลายภาษาตราบใดที่มีคำศัพท์ที่เพียงพอที่จะนำมา train

นอกจากนี้ AI ยังเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่มีนักลงทุนจำนวนมากยอมที่จะเสี่ยงวางเงินหลักหลายล้านดอลลาร์ในการลงทุนใน startup หรือ project ที่เกี่ยวข้องกับ AI อีกทั้ง McKinsey  ได้ทำการประเมินว่า AI จะทำการขับเคลื่อนทุกๆอุตสาหกรรมให้เติบโตในอัตรา 10 - 99 เปอร์เซนต์ เป็นอย่างน้อย


เครดิต จาก  K.whatisai

อ่านบทความเต็มๆได้ที่    https://www.thaiprogrammer.org/2018/12/whatisai/

ขอบคุณครับ

สนใจติดต่อได้ที่ = CCS = E-mail : ccsfuture@gmail.com

Facebook : ccsfingerscan Hotline : 094 490 3941 -3 Tel : 02 525 4178 -80 

Line : ccsfuture Email : ccsfuture@gmail.com

 

Keyword : นาฬิกายาม,สแกนนิ้ว,สแกนนิ้วมือ,สแกนลายนิ้ว,สแกนลายนิ้วมือ,สแกนหน้า,สแกนใบหน้า,เครื่องบันทึกเวลา,เครื่องสแกนนิ้ว,เครื่องสแกนนิ้วhip,เครื่องสแกนนิ้วราคาถูก,เครื่องสแกนลายนิ้ว,เครื่องสแกนลายนิ้วมือ,เครื่องสแกนลายนิ้วมือราคาถูก,เครื่องสแกน